เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และการลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน (Global Warming) เรามักจะได้ยินคำว่า Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งทั้งสองคำนี้ต่างก็มีเป้าหมายหลักเหมือนกัน คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่รู้หรือไม่ว่า จริง ๆ แล้วทั้งสองแนวคิดนี้มี “วิธีการดำเนินงาน” ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนบทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า Carbon Neutrality คืออะไร, Net Zero Emissions คืออะไร, และทั้งสองมีความต่างกันตรงไหน พร้อมแนะนำแนวทางสำหรับองค์กรหรือธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริงCarbon Neutrality คืออะไร?
Carbon Neutrality หรือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน คือการที่ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ที่ถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศมีค่าเท่ากับปริมาณที่ถูกดูดซับกลับคืนมาหรือชดเชยด้วยวิธีต่าง ๆ นั่นหมายความว่า ถึงแม้กิจกรรมหนึ่งจะปล่อยคาร์บอน แต่ก็มีการ “ชดเชยคาร์บอน” กลับมาอย่างสมดุล เป็น 1 ในกระบวนการที่จะทำให้บรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์วิธีการบรรลุ Carbon Neutrality ได้แก่
• ลดการปล่อย CO₂ ออกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง• ปลูกต้นไม้ เพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อดูดซับคาร์บอน ดูดซับก๊าซเรือนกระจก• ใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลม• การซื้อขาย คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) หรือ Renewable Energy Certificate (REC) เพื่อชดเชยการปล่อยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตัวอย่างเช่น องค์กรที่ยังจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานฟอสซิล อาจชดเชยคาร์บอนที่ปล่อยออกมาด้วยการลงทุนในโครงการปลูกป่าหรือซื้อคาร์บอนเครดิตจากแหล่งอื่น เพื่อทำให้การปล่อย CO₂ สุทธิเป็นศูนย์Net Zero Emissions คืออะไร?
Net Zero Emissions หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เป็นแนวคิดที่กว้างกว่า Carbon Neutrality เพราะไม่เพียงแต่โฟกัสที่คาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น แต่รวมถึงก๊าซเรือนกระจกทั้ง 7 ชนิด ได้แก่1.คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกมากที่สุด และเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการสะสมพลังงานความร้อนในชั้นบรรยากาศมากที่สุดเช่นกัน มีอายุในชั้นบรรยากาศได้นานถึง 200 ปี
2.ก๊าซมีเทน (CH₄) ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกมากเป็นอันดับ 2 ซึ่งมีคุณสมบัติสะสมพลังงานความร้อนได้ดีกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 84 เท่า แต่มีอายุในชั้นบรรยากาศได้ราว ๆ 12 ปี
3.ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N₂O) ก๊าซธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพในการสร้างภาวะเรือนกระจกได้ดีกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 260 เท่า มีอายุในชั้นบรรยากาศได้นานเกิน 1 ศตวรรษ
4.ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) ใช้เป็นสารทำความเย็นในเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ตู้แช่เข็ง และใช้ในการดับเพลิง
5.ก๊าซเปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) ใช้ในกระบวนการหลอมอะลูมิเนียมและผลิตสารกึ่งตัวนำไฟฟ้า
6.ก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3) ใช้ในกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์หรือวงจรขนาดเล็ก
7.ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6) ใช้ในภาคอุตสาหกรรมยางรถยนต์ อุตสาหกรรมแมกนีเซียม
โดย Net Zero Emissions เป็น เป้าหมายในระดับประเทศและระดับโลก ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เน้นกำจัดก๊าซเรือนกระจกออกจากชั้นบรรยากาศด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจให้มุ่งสู่ความยั่งยืนวิธีการบรรลุ Net Zero Emissions ได้แก่
• ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล (น้ำมัน, ถ่านหิน, ก๊าซธรรมชาติ)
• ส่งเสริมการใช้ พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล
• ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ระบบขนส่งสาธารณะหรือยานยนต์ไฟฟ้า
• ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป: จะเลือก Carbon Neutrality หรือ Net Zero ดี?
• ถ้าเป้าหมายของคุณคือการ บริหารจัดการคาร์บอน ในระดับองค์กรหรือกิจกรรมเฉพาะเจาะจง เช่น งานอีเวนต์ การ เริ่มต้นจากเป้าหมาย Carbon Neutrality อาจเหมาะสมกว่า
• หากคุณเป็นหน่วยงานภาครัฐ ธุรกิจขนาดใหญ่ หรือองค์กรที่ต้องการมีส่วนร่วมใน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเชิงโครงสร้าง → การวางแผนสู่ Net Zero Emissions คือเป้าหมายที่ควรมุ่งไป
เริ่มต้นวันนี้เพื่อโลกที่ยั่งยืน ! การเปลี่ยนผ่านสู่ Carbon Neutrality หรือ Net Zero Emissions ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็น ความจำเป็น ที่ทุกธุรกิจและสังคมต้องให้ความสำคัญ หากเริ่มตั้งแต่วันนี้ คุณจะเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไปแหล่งข้อมูลอ้างอิง
mekhav.com